โมเดลธุรกิจ คืออะไร ทำไมเจ้าของกิจการต้องรู้

โมเดลธุรกิจ คืออะไร ทำไมเจ้าของกิจการต้องรู้

อ่านเมื่อ: 2 นาทีที่แล้ว

Business Model หรือ โมเดลธุรกิจ เปรียบเสมือนแผนผังที่บอกวิธีการดำเนินธุรกิจ อธิบายว่าธุรกิจสร้างคุณค่าให้กับลูกค้าอย่างไร สร้างรายได้อย่างไร และบริหารจัดการทรัพยากรอย่างไร โมเดลธุรกิจที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจประสบความสำเร็จ บรรลุเป้าหมาย และสร้างความยั่งยืนในระยะยาว

บทความนี้จะอธิบายถึงความหมายของ “Business Model” และความสำคัญของมันต่อธุรกิจต่างๆ นอกจากนี้เรายังยกตัวอย่างธุรกิจที่มี Business Model ที่เด่นและประสบความสำเร็จ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจว่า Business Model ที่ดีสามารถช่วยให้ธุรกิจเติบโตและยั่งยืนได้อย่างไร


ความหมายของ โมเดลธุรกิจ (Business Model)

ความหมายของ โมเดลธุรกิจ (Business Model)

ความหมายของ โมเดลธุรกิจ (Business Model) คือกรอบการทำงานหรือแผนการที่ชี้แจงวิธีการที่ธุรกิจหรือองค์กรจะสร้าง, ส่งมอบ, การให้บริการหรือสินค้ากับลูกค้า รวมถึงวิธีการสร้างรายได้และการทำกำไร Business Model ช่วยให้บริษัทสามารถระบุแหล่งรายได้หลัก, กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย, ผลิตภัณฑ์, และวิธีการในการเข้าถึงตลาดได้ โดยโมเดลธุรกิจที่ดีจะตอบคำถามสำคัญดังนี้

  • ธุรกิจของคุณสร้างคุณค่าอะไร?
  • ลูกค้าเป้าหมายของคุณคือใคร?
  • คุณจะส่งมอบคุณค่าให้กับลูกค้าได้อย่างไร?
  • คุณจะสร้างรายได้จากธุรกิจได้อย่างไร?
  • กลยุทธ์ในการแข่งขันของคุณคืออะไร?

โมเดลธุรกิจที่ดีเปรียบเสมือนรากฐานที่แข็งแรง ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์ และสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง

ตัวอย่าง 12 โมเดลธุรกิจ ที่ใช้ในปัจจุบัน

ตัวอย่าง 12 โมเดลธุรกิจ ที่ใช้ในปัจจุบัน

แนะนำ 12 Business Model ยอดฮิต ที่มือใหม่ควรรู้ พร้อมอธิบายแบบเข้าใจง่าย เพื่อนำไปปรับใช้กับธุรกิจของคุณได้ โดยทั้ง 12 Business Model นี้ เป็นเพียงตัวอย่างเบื้องต้น ยังมีรูปแบบธุรกิจอื่นๆ อีกมากมาย ธุรกิจควรศึกษาและวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ เพื่อเลือก Business Model ที่เหมาะสมกับธุรกิจของตัวเอง

1.Subscription Model:

รูปแบบนี้ลูกค้าจะจ่ายค่าธรรมเนียมเป็นประจำ แลกกับการเข้าถึงสินค้าหรือบริการแบบต่อเนื่อง เปรียบเสมือนการ “เหมาจ่าย” ตัวอย่าง: Netflix, Spotify, Disney+

ข้อดี:

  • ธุรกิจมีรายได้ที่คาดเดาได้ง่าย
  • รักษาฐานลูกค้าระยะยาว
  • สร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า

ข้อเสีย:

  • จำเป็นต้องมีสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพสูงเพื่อดึงดูดลูกค้าให้สมัครสมาชิก
  • ต้องรักษาฐานลูกค้าให้อยู่ต่อเนื่อง

2.Freemium Model:

เสนอบริการพื้นฐานฟรี แต่ลูกค้าต้องจ่ายเงินเพิ่มเพื่อเข้าถึงฟีเจอร์พิเศษ ตัวอย่าง: Zoom, Canva, Dropbox

ข้อดี:

  • ดึงดูดลูกค้าด้วยบริการฟรี
  • กระตุ้นให้ลูกค้าอัปเกรดเป็นแพ็คเกจเสียเงิน
  • เก็บข้อมูลลูกค้าเพื่อวิเคราะห์และพัฒนาบริการ

ข้อเสีย:

  • จำเป็นต้องมีบริการฟรีที่มีคุณภาพดีพอที่จะดึงดูดลูกค้า
  • อาจจะต้องใช้เวลานานกว่าจะเห็นผลกำไร

3.Marketplace Model:

เป็นแพลตฟอร์มที่เชื่อมต่อผู้ซื้อและผู้ขาย เรียกเก็บค่าธรรมเนียมจากธุรกรรมที่เกิดขึ้น เปรียบเสมือนตลาดออนไลน์ ตัวอย่าง: Shopee, Lazada, Grab

ข้อดี:

  • ไม่จำเป็นต้องลงทุนในสินค้าคงคลัง
  • มีโอกาสขยายฐานลูกค้าได้กว้าง
  • สร้างรายได้จากค่าธรรมเนียม

ข้อเสีย:

  • ต้องแข่งขันกับแพลตฟอร์มอื่นๆ
  • ควบคุมคุณภาพสินค้าและบริการบนแพลตฟอร์มได้ยาก

4.Advertising Model:

นำเสนอเนื้อหาฟรี แต่หารายได้จากโฆษณา ตัวอย่าง: Facebook, YouTube, LINE

ข้อดี:

  • เข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้กว้าง
  • ไม่จำเป็นต้องเก็บค่าธรรมเนียมจากผู้ใช้
  • เก็บข้อมูลผู้ใช้เพื่อวิเคราะห์และนำเสนอโฆษณาที่ตรงกลุ่ม

ข้อเสีย:

  • จำเป็นต้องมีจำนวนผู้ใช้จำนวนมากเพื่อดึงดูดนักโฆษณา
  • ผู้ใช้อาจจะรำคาญกับโฆษณา

5.Direct Sales Model:

ขายสินค้าหรือบริการโดยตรงให้กับความต้องการลูกค้า ตัวอย่าง: Apple, Samsung, 109Menu , ร้านค้าปลีกทั่วไป

ข้อดี:

  • ควบคุมราคาและคุณภาพสินค้าได้เอง
  • สร้างความสัมพันธ์อันดีกับลูกค้า
  • เก็บข้อมูลลูกค้าเพื่อวิเคราะห์และพัฒนาสินค้า

ข้อเสีย:

  • จำเป็นต้องมีทุนในการลงทุนสูง
  • ต้องมีช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า

6.Affiliate Marketing:

ได้รับค่าคอมมิชชั่นจากการแนะนำลูกค้าให้กับธุรกิจอื่น ตัวอย่าง: บล็อกเกอร์, อินฟลูเอนเซอร์

ข้อดี:

  • ไม่จำเป็นต้องลงทุนในสินค้าหรือบริการ
  • ทำงานจากที่ไหนก็ได้
  • เข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ

ข้อเสีย:

  • รายได้ขึ้นอยู่กับจำนวนการขาย
  • จำเป็นต้องสร้างคอนเทนต์ที่น่าสนใจและดึงดูดลูกค้า

7.Membership Model:

ลูกค้าจ่ายค่าธรรมเนียมเพื่อเข้าถึงสิทธิพิเศษต่างๆ เช่น ส่วนลด บริการพิเศษ หรือกิจกรรมพิเศษ ตัวอย่าง: Costco, Amazon Prime

ข้อดี:

  • รักษาฐานลูกค้าระยะยาว
  • สร้างรายได้ที่คาดเดาได้ง่าย
  • กระตุ้นให้ลูกค้าใช้จ่ายมากขึ้น

ข้อเสีย:

  • จำเป็นต้องมีสิทธิพิเศษที่ดึงดูดใจลูกค้ามากพอ
  • ต้องรักษาฐานลูกค้าให้อยู่ต่อเนื่อง

8.Licensing Model

ขายสิทธิ์การใช้งานสินค้าหรือบริการ เช่น ซอฟต์แวร์ เพลง ภาพยนตร์ ตัวอย่าง: Microsoft Windows, Adobe Photoshop, เพลงลิขสิทธิ์

ข้อดี:

  • ได้รับรายได้จากการขายสิทธิ์การใช้งานซ้ำ ๆ
  • ไม่จำเป็นต้องผลิตสินค้าหรือบริการใหม่ ๆ อยู่เสมอ
  • ควบคุมคุณภาพสินค้าหรือบริการได้

ข้อเสีย:

  • จำเป็นต้องมีสินค้าหรือบริการที่มีคุณภาพสูง
  • อาจจะต้องเผชิญกับปัญหาการละเมิดลิขสิทธิ์

9.Franchise Model:

ธุรกิจมอบสิทธิ์ให้บุคคลอื่นใช้ชื่อแบรนด์ โลโก้ และระบบธุรกิจ เพื่อดำเนินธุรกิจในรูปแบบเดียวกัน ตัวอย่าง: McDonald’s, KFC, 7-Eleven

ข้อดี:

  • ขยายธุรกิจได้รวดเร็วโดยไม่ต้องลงทุนเอง
  • ได้รับค่าธรรมเนียมจากแฟรนไชส์ซี
  • ควบคุมมาตรฐานของธุรกิจ

ข้อเสีย:

  • เสียการควบคุมบางส่วนต่อแฟรนไชส์ซี
  • จำเป็นต้องมีระบบการสนับสนุนแฟรนไชส์ซีที่ดี

10.Crowdfunding Model:

ระดมทุนจากผู้คนจำนวนมากเพื่อนำมาใช้ในการพัฒนาสินค้าหรือบริการ ตัวอย่าง: Kickstarter, GoFundMe

ข้อดี:

  • ระดมทุนได้รวดเร็ว
  • ไม่จำเป็นต้องกู้เงินจากธนาคาร
  • ได้รับคำติชมจากผู้สนับสนุน

ข้อเสีย:

  • จำเป็นต้องมีโปรเจคที่น่าสนใจดึงดูดผู้คน
  • ต้องบรรลุเป้าหมายในการระดมทุน

11.Pre-order Model:

ลูกค้าจ่ายเงินล่วงหน้าเพื่อซื้อสินค้าหรือบริการก่อนวางจำหน่าย ตัวอย่าง: สมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ สินค้า limited edition

ข้อดี:

  • ได้รับเงินทุนก่อนสินค้าวางจำหน่าย
  • ประเมินความต้องการของตลาด
  • สร้างกระแสความสนใจในสินค้า

ข้อเสีย:

  • เสี่ยงกรณีสินค้าไม่เป็นที่ต้องการของตลาด
  • จำเป็นต้องจัดส่งสินค้าตรงเวลา

12.On-demand Model:

ลูกค้าสั่งซื้อสินค้าหรือบริการผ่านแอปพลิเคชั่น และได้รับสินค้าหรือบริการทันที ตัวอย่าง: Grab, Uber, Foodpanda

ข้อดี:

  • สะดวก รวดเร็ว ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ทันที
  • ไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้าน
  • เก็บข้อมูลลูกค้าเพื่อวิเคราะห์และพัฒนาบริการ

ข้อเสีย:

  • จำเป็นต้องมีระบบการจัดส่งที่มีประสิทธิภาพ
  • ต้นทุนการดำเนินงานสูง

ตัวอย่างธุรกิจที่มี Business Model ที่ดี

ตัวอย่างธุรกิจที่มี Business Model ที่ดี
  1. Netflix:

โมเดลธุรกิจของ Netflix เน้นที่การให้บริการสตรีมมิ่งภาพยนตร์และรายการทีวีแบบรายเดือน ลูกค้าสามารถรับชมภาพยนตร์และรายการทีวีได้หลากหลายบนอุปกรณ์ต่างๆ โดยไม่ต้องเสียค่าเช่าแผ่น DVD หรือไปโรงภาพยนตร์ โมเดลนี้ประสบความสำเร็จเพราะ

  • เข้าใจความต้องการของลูกค้า: ลูกค้าต้องการความสะดวกสบายและความหลากหลายในการรับชมภาพยนตร์และรายการทีวี
  • นำเสนอคุณค่าที่เหนือกว่า: Netflix นำเสนอภาพยนตร์และรายการทีวีที่หลากหลายกว่าบริการสตรีมมิ่งอื่นๆ ในราคาที่เหมาะสม
  • สร้างรายได้อย่างยั่งยืน: Netflix เก็บค่าธรรมเนียมรายเดือนจากลูกค้า ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่าจะมีรายได้ที่สม่ำเสมอ
  • ปรับตัวตามสถานการณ์: Netflix ปรับตัวตามเทคโนโลยีและพฤติกรรมของลูกค้าอยู่เสมอ เช่น การนำเสนอเนื้อหาต้นฉบับและการขยายบริการไปยังประเทศต่างๆ
  1. Airbnb:

โมเดลธุรกิจของ Airbnb เน้นที่การเชื่อมต่อนักเดินทางกับเจ้าของที่พักทั่วโลก Airbnb ทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่ช่วยให้นักเดินทางค้นหา จอง และเช่าที่พักจากเจ้าของที่พักโดยตรง โมเดลนี้ประสบความสำเร็จเพราะ

  • ตอบโจทย์ความต้องการใหม่: Airbnb นำเสนอตัวเลือกที่พักที่หลากหลายและเป็นเอกลักษณ์มากกว่าโรงแรมทั่วไป
  • สร้างประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร: Airbnb ช่วยให้นักเดินทางได้สัมผัสกับวัฒนธรรมท้องถิ่นและวิถีชีวิตของผู้คนในท้องถิ่น
  • สร้างรายได้จากค่าธรรมเนียม: Airbnb เก็บค่าธรรมเนียมจากทั้งนักเดินทางและเจ้าของที่พัก
  • สร้างชุมชน: Airbnb สร้างชุมชนนักเดินทางและเจ้าของที่พักที่เชื่อมต่อกันผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์
  1. Grab:

โมเดลธุรกิจของ Grab เน้นที่การให้บริการเรียกรถ แท็กซี่ และบริการอื่นๆ ผ่านแอปพลิเคชันบนมือถือ Grab ทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เชื่อมต่อผู้โดยสารกับคนขับ โมเดลนี้ประสบความสำเร็จเพราะ

  • เข้าใจความต้องการของลูกค้า: ลูกค้าต้องการบริการเรียกรถที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย
  • นำเสนอคุณค่าที่เหนือกว่า: Grab นำเสนอบริการเรียกรถที่มีราคาไม่แพง มีตัวเลือกหลากหลาย และมีระบบติดตาม GPS
  • สร้างรายได้อย่างยั่งยืน: Grab เก็บค่าธรรมเนียมจากทั้งผู้โดยสารและคนขับ
  • ขยายบริการ: Grab ขยายบริการไปยังธุรกิจอื่นๆ เช่น บริการส่งอาหารและบริการชำระเงิน

Business Model เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับธุรกิจทุกประเภท โมเดลธุรกิจ ที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจบรรลุเป้าหมาย สร้างการเติบโต และสร้างความได้เปรียบเหนือคู่แข่ง ธุรกิจควรทบทวนและปรับปรุงโมเดลธุรกิจอยู่เสมอ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้าและสถานการณ์